OpenAI เปิดตัว Deep Research เครื่องมือวิจัยข้อมูลเชิงลึกรุ่นใหม่ล่าสุด

บริษัท OpenAI ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ของ ChatGPT ที่มีชื่อว่า “Deep Research” ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยค้นคว้า วิเคราะห์ และรวบรวมข้อมูลในเชิงลึกอย่างเป็นระบบ โดยผลลัพธ์ที่ได้จะถูกอธิบายเป็นลำดับขั้นตอน พร้อมทั้งมีการระบุแหล่งอ้างอิงประกอบอย่างครบถ้วน

คุณสมบัติเด่นของ Deep Research

OpenAI ระบุว่า Deep Research นั้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทำงานด้านวิชาชีพที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นสายการเงิน วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ หรือกฎหมาย ซึ่งแต่เดิมกระบวนการค้นหาข้อมูลเชิงลึกนั้นใช้เวลานานมาก เนื่องจากจำเป็นต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลอย่างเป็นขั้นเป็นตอน นอกจากนี้ Deep Research ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการเปรียบเทียบข้อมูลสินค้าที่มีรายละเอียดจำนวนมาก เช่น รถยนต์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ได้อีกด้วย

คุณสมบัติเด่นของ Deep Research มีดังนี้:

  1. ทำงานบนโมเดล o3 เวอร์ชันที่ได้รับการปรับแต่งพิเศษ
  2. ทำคะแนน Humanity’s Last Exam ซึ่งเป็นชุดคำถามเชิงลึกทางวิชาการได้สูงถึง 25.3% เทียบกับ o1 ที่ 9% และ o3 ที่ 10%
  3. การเรียกใช้งานทำได้ง่ายผ่านปุ่ม Deep Research ที่กล่องแชท ระบบจะประมวลผลคำถามและให้คำตอบที่มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น
  4. ผลลัพธ์ที่ได้จะมาพร้อมกับตาราง ตัวเลข และแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน รวมถึงบทสรุปที่กระชับ

ตัวอย่างการใช้งาน Deep Research

ในตัวอย่างด้านล่างนี้เป็นการวิเคราะห์โอกาสทางการตลาดของแอป iOS ในประเทศต่างๆ หากใช้ GPT-4o ในการถามคำถาม จะได้รับคำตอบที่รวดเร็วกว่า แต่เป็นแบบกว้างๆ และไม่ค่อยลงรายละเอียดมากนัก ในทางกลับกัน หากใช้ Deep Research คำตอบที่ได้จะมาในรูปแบบของตาราง ตัวเลข พร้อมระบุแหล่งอ้างอิง และมีข้อสรุปให้อย่างชัดเจน แต่จะใช้เวลานานกว่าในการประมวลผลคำตอบ (OpenAI ระบุว่าอาจใช้เวลานานถึง 5-30 นาที)

ข้อจำกัดของ Deep Research ในปัจจุบัน

แม้ว่า Deep Research จะเริ่มเปิดให้บริการแล้วผ่านเว็บไซต์สำหรับลูกค้า ChatGPT Pro โดยจำกัดที่ 100 คิวรีต่อวัน และจะขยายไปยังลูกค้า Plus, Team และ Enterprise ในลำดับถัดไป แต่ OpenAI ก็ยอมรับว่าฟังก์ชันนี้ยังคงมีข้อจำกัดในการทำงานอยู่ในปัจจุบัน อาทิ

  • อาจให้ข้อมูลหรืออ้างอิงที่ผิดพลาดได้
  • ยังไม่สามารถแยกแยะข้อมูลประเภทข่าวลือออกมาได้อย่างแม่นยำ

ทั้งนี้ กูเกิลเองก็มีฟีเจอร์การค้นหาข้อมูลเชิงลึกในชื่อ Gemini ซึ่งเปิดตัวพร้อมกับ Gemini 2.0 ไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาเช่นกัน

บทสรุป

Deep Research นับเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่น่าจับตามองจาก OpenAI ซึ่งจะช่วยให้การค้นคว้าและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี เครื่องมือนี้ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้างในระยะเริ่มต้น ดังนั้นผู้ใช้จึงจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาผลลัพธ์ที่ได้รับ และตรวจสอบความถูกต้องจากแหล่งข้อมูลต้นฉบับประกอบเสมอ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อการนำไปใช้งานจริง

ที่มา: OpenAI

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top