ความสัมพันธ์ระหว่าง OpenAI และ Microsoft ซึ่งเป็นผู้ลงทุนรายสำคัญ เริ่มมีปัญหาขัดแย้งกันมากขึ้น ตามรายงานพิเศษจาก The Wall Street Journal ระบุว่า ทั้งสองบริษัทกำลังเจรจาต่อรองเรื่องจำนวนหุ้นและผลตอบแทนใหม่ เมื่อ OpenAI ปรับโครงสร้างองค์กรให้เน้นส่วน For-Profit มากขึ้น
ประวัติความเป็นมาของ OpenAI
เมื่อก่อนก่อตั้ง OpenAI เป็นบริษัทไม่แสวงหากำไร (Non-Profit) ใช้เงินนักลงทุนเพื่อมุ่งสร้าง AGI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่ทำได้ทุกอย่าง แต่ต่อมาพบว่าต้องใช้เงินอีกมาก จึงตั้งบริษัทลูกสำหรับแสวงหากำไร (For-Profit) แบบจำกัดผลตอบแทนให้นักลงทุน และรับเงินใหม่จากนักลงทุนรวมทั้ง Microsoft ผ่านบริษัทนี้ ทำให้โครงสร้าง OpenAI เลยไม่เหมือนบริษัทเทคโนโลยีทั่วไป
การปรับโครงสร้างบริษัทของ OpenAI
ล่าสุด OpenAI มีแผนปรับโครงสร้างบริษัทใหม่อีกครั้ง หลังจากได้รับเงินเพิ่มทุนรอบล่าสุด 6,600 ล้านดอลลาร์ โดยจะให้ส่วน For-Profit มีอิสระมากขึ้น เพื่อเพิ่มผลตอบแทนดึงดูดนักลงทุน ทั้ง OpenAI และ Microsoft ได้จ้างธนาคารที่ปรึกษามาประเมินว่า หลังการปรับโครงสร้างนี้ Microsoft ที่ลงทุนไปแล้วถึง 13,750 ล้านดอลลาร์ ควรได้หุ้นบริษัทใหม่กี่เปอร์เซ็นต์ และอำนาจกำกับดูแลควรมีมากแค่ไหน
ความท้าทายในการปรับโครงสร้างของ OpenAI
อย่างไรก็ตาม โจทย์นี้ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนนัก เนื่องจากโครงสร้างที่ไม่เหมือนใครของ OpenAI เอง และมูลค่ากิจการที่สูงมากตอนนี้ OpenAI มีเวลา 2 ปี ในการปรับโครงสร้างบริษัทให้เป็น For-Profit มากขึ้น ซึ่งเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการเพิ่มทุนรอบล่าสุด หากไม่สำเร็จ ผู้ลงทุนอาจขอเรียกเงินลงทุนขึ้นได้ ดังนั้น OpenAI จำเป็นต้องหาทางออกกับ Microsoft ให้ได้ในเร็ววัน
วิธีจ่ายผลตอบแทนในโครงสร้างเดิมของ OpenAI
ตามเอกสารภายใน OpenAI ที่ The Wall Street Journal อ้างถึง ระบุวิธีคำนวณผลตอบแทนให้ผู้ลงทุนในส่วน For-Profit กับ Non-Profit ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ Microsoft ต้องประเมินมูลค่าและจำนวนหุ้นในบริษัทใหม่ที่ตกลงกันได้ สรุปได้ว่า:
- กำไรลำดับแรก 194 ล้านดอลลาร์ จ่ายคืนให้นักลงทุนรุ่นแรกก่อน
- กำไรส่วนถัดไป 17,300 ล้านดอลลาร์ จ่ายให้นักลงทุนชุดถัดมา ซึ่งรวมทั้งส่วนของ Microsoft 13,000 ล้านดอลลาร์
- ส่วนที่เกินจากสองข้อแรก จ่ายตามเปอร์เซ็นต์ของผู้ถือหุ้นที่ตกลงไว้ แต่หากเกินตัวเลขเพดานที่กำหนด ทั้งหมดจะปัดไปให้ Non-Profit ทั้งหมด
ดังนั้น วิธีการคำนวณผลตอบแทนที่ซับซ้อนนี้ จึงเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ Microsoft ต้องประเมินมูลค่าและจำนวนหุ้นในบริษัทใหม่อย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เหมาะสมกับทั้งสองฝ่าย