ทำความรู้จักกับมุข “โอนเงินผิด” อันตรายที่แฝงมาในยุคดิจิทัล
ทุกวันนี้มิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนกลวิธีในการหลอกลวงให้ผู้คนตกเป็นเหยื่ออยู่เสมอ หนึ่งในมุขที่กำลังระบาดและต้องเฝ้าระวังอย่างยิ่งคือ “โอนเงินผิด” ซึ่งมิจฉาชีพจะสร้างสถานการณ์เพื่อให้เราโอนเงินหรือให้ข้อมูลที่พวกเขาต้องการโดยการอ้างว่าโอนเงินผิดเข้าบัญชีเรา มุขนี้มักจะสร้างความสับสนและทำให้ผู้ถูกหลอกลวงตกใจจนตัดสินใจผิดพลาด มาดูกันว่าเทคนิคนี้ทำงานอย่างไร และเราจะป้องกันตนเองได้อย่างไรบ้าง
เทคนิค “โอนเงินผิด” ทำงานอย่างไร?
ขั้นตอนที่มิจฉาชีพใช้ในมุข “โอนเงินผิด”
- โอนเงินจำนวนเล็กน้อยเข้าบัญชีของเหยื่อ
มิจฉาชีพจะโอนเงินเข้าบัญชีของเหยื่อในจำนวนที่ไม่มากนักเพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย โดยการโอนเงินนี้จะเป็นวิธีการเพื่อดึงความสนใจของเหยื่อให้สงสัยและเริ่มเปิดช่องทางการสื่อสาร - การติดต่อเพื่อสร้างสถานการณ์ผิดปกติ
มิจฉาชีพจะติดต่อเหยื่อผ่านทางโทรศัพท์หรือข้อความ โดยจะใช้ท่าทีเร่งด่วนและบอกว่าตัวเองเป็นคนโอนเงินผิดบัญชีไปโดยไม่ตั้งใจ อาจจะบอกว่าต้องการเงินคืนโดยด่วนและจะมีการกำหนดวิธีการคืนเงินที่ฟังดูมีเหตุผล - สร้างความเร่งด่วนเพื่อให้เหยื่อโอนเงินกลับทันที
มิจฉาชีพจะพยายามกดดันเหยื่อด้วยคำพูดที่ทำให้รู้สึกเร่งด่วน เช่น อ้างว่าเงินจำนวนนี้สำคัญมาก เป็นค่าใช้จ่ายจำเป็น หรือแม้แต่การใช้คำข่มขู่ว่าหากไม่โอนกลับทันทีอาจมีปัญหาทางกฎหมาย - ขอข้อมูลบัญชีเพื่อยืนยันตัวตน
บางกรณีมิจฉาชีพอาจขอข้อมูลบัญชีธนาคาร หรือรหัส OTP โดยอ้างว่าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการ “คืนเงิน” ซึ่งนี่คือจุดสำคัญที่มิจฉาชีพจะใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อ - หลอกลวงให้โอนเงินโดยใช้ช่องทางที่ผิดปกติ
มิจฉาชีพอาจจะขอให้โอนเงินผ่านแอปพลิเคชันที่มีค่าธรรมเนียมหรือผ่านช่องทางที่สามารถควบคุมการรับเงินได้ ซึ่งทำให้การติดตามหรือเรียกคืนเงินทำได้ยาก
วิธีป้องกันตัวจากการหลอกลวงมุข “โอนเงินผิด”
- ตรวจสอบรายละเอียดก่อนดำเนินการใด ๆ
หากมีคนติดต่อมาโดยอ้างว่าโอนเงินผิดบัญชี ให้ตรวจสอบรายละเอียดก่อน เช่น ดูว่าเงินนั้นเข้ามาจริงหรือไม่ และเป็นจำนวนที่เขากล่าวหรือไม่ การเช็คผ่านแอปธนาคารจะช่วยให้คุณเห็นรายการเคลื่อนไหวในบัญชีได้ชัดเจน - หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัว
อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลการเงินเช่น รหัส OTP กับบุคคลอื่นโดยเด็ดขาด มิจฉาชีพมักใช้ข้ออ้างในการขอข้อมูลที่ควรเป็นความลับเพื่อให้เหยื่อตายใจและเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญ - ไม่รีบโอนเงินคืนหากไม่มั่นใจ
ควรตั้งสติและไม่รีบโอนเงินคืนทันที แม้ว่าอีกฝ่ายจะใช้ท่าทีเร่งด่วนหรือกดดัน ควรตรวจสอบรายละเอียดให้แน่ชัด หรือสอบถามกับธนาคารเพื่อขอคำแนะนำในการดำเนินการ - อย่าคลิกลิงก์จากข้อความหรืออีเมลแปลก ๆ
มิจฉาชีพอาจส่งลิงก์ที่เป็นฟิชชิง (Phishing) มาให้เหยื่อคลิกเพื่อหลอกขโมยข้อมูล ควรหลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ที่ไม่แน่ใจหรือส่งมาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ - รายงานเจ้าหน้าที่หากพบการหลอกลวง
หากคุณสงสัยว่าถูกมิจฉาชีพหลอกลวง ควรรวบรวมหลักฐานการสื่อสารและแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือและป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับผู้อื่น
ตัวอย่างสถานการณ์จริงจากมุข “โอนเงินผิด”
มีกรณีที่มิจฉาชีพโอนเงินจำนวนเล็กน้อยเข้าบัญชีเหยื่อแล้วติดต่อไปทางโทรศัพท์ โดยอ้างว่าตัวเองโอนผิดบัญชีและขอให้เหยื่อช่วยโอนเงินกลับ แต่แท้จริงแล้วพวกเขาอาศัยความเร่งด่วนในการขอข้อมูลธนาคารของเหยื่อซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการเข้าถึงบัญชี นอกจากนี้ยังมีการข่มขู่หรือบอกว่าเป็นเงินที่สำคัญต่อชีวิตประจำวัน เช่น เงินค่ารักษาพยาบาล หรือเงินค่าใช้จ่ายของครอบครัว เพื่อให้เหยื่อตื่นตกใจและไม่ทันตั้งตัว
เคล็ดลับเพิ่มเติมในการป้องกันการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
- หมั่นตรวจสอบรายการเคลื่อนไหวในบัญชีธนาคารเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการโอนเงินหรือรายการที่ไม่ปกติ
- ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการหลอกลวงรูปแบบใหม่ ๆ มิจฉาชีพมีการพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ อยู่เสมอ การอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการหลอกลวงจะช่วยให้เรารับมือได้ดีขึ้น
- เก็บข้อมูลการติดต่อของธนาคารไว้ในกรณีฉุกเฉิน หากเกิดเหตุการณ์ที่สงสัยว่าเป็นการหลอกลวง การติดต่อธนาคารเพื่อขอความช่วยเหลือจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด
สรุป
มุข “โอนเงินผิด” เป็นการหลอกลวงที่มิจฉาชีพใช้เพื่อสร้างสถานการณ์ที่ทำให้เหยื่อเกิดความสงสัยหรือเร่งด่วนจนต้องตัดสินใจโอนเงินหรือให้ข้อมูลสำคัญ การป้องกันตัวจากกลโกงเช่นนี้ต้องใช้สติและการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด รวมถึงไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลการเงินที่สำคัญแก่บุคคลที่ไม่รู้จัก หากคุณพบเจอสถานการณ์ที่มีลักษณะเช่นนี้ ควรตรวจสอบและขอคำแนะนำจากธนาคารหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อลดความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง